วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

แปลเพลง I Will Follow Him

I Will Follow Him

I will follow him 
ฉันจะติดตามเขา
Follow him where ever he may go
ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ทุกหนทุกแห่ง
And near him I always will be
และจะอยู่ใกล้ชิดเขาตลอด
For nothing can keep me away
ไม่มีสิ่งใดสามารถกีดกันฉันได้
He is my destiny
เขาคือโชคชะตาของฉัน

I will follow him
ฉันจะติดตามเขา
Ever since he touched my heart, I knew
ฉันรู้สึกได้เมื่อเขาจับหัวใจฉัน
There isn't an ocean too deep
ไม่มีมหาสมุทรใดที่จะลึก
A mountain so high it can keep
ไม่มีภูเขาใดจะสูงเกิน
Keep me away, away from his love
ถึงขนาดที่จะกั้นฉันจากความรักของเขาได้

I love him, I love him, I love him
ฉันรักเขา ฉันรักเขา ฉันรักเขา
And where he goes I'll follow, I'll follow, I'll follow
และไม่ว่าที่ใดที่เขาไป ฉันจะติดตาม ติดตาม ติดตาม
I will follow him, follow him where ever he may go
ฉันจะติดตามเขา ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ทุกหนทุกแห่ง
There isn't an ocean too deep
ไม่มีมหาสมุทรใดที่จะลึก
A mountain so high it can keep, keep me away
ไม่มีภูเขาใดจะสูงเกินพอที่จะกีดกันเราไปได้
We will follow him
เราจะติดตามเขา
Follow him where ever he may go
ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ทุกหนทุกแห่ง
There isn't an ocean too deep
ไม่มีมหาสมุทรใดที่จะลึก
A mountain so high it can keep
ไม่มีภูเขาใดจะสูงเกิน
Keep us away, away from his love
ถึงขนาดที่จะกั้นพวกเราจากความรักของเขาได้

(I love him)
ฉันรักเขา
Oh yes, I love him
อ๋อ ใช่แล้ว ฉันรักเขา
(I'll follow)
ฉันจะติดตาม
I'm gonna follow
ฉันกำลังจะติดตาม
True love, he'll always be my true love
ความรักที่แท้จริง เขาจะเป็นความรักที่แท้จริงของฉันตลอดไป
(Forever)
ตลอดไป
From now until forever
บัดนี้ จวบจนนิรันดร์

I love him, I love him, I love him
ฉันรักเขา ฉันรักเขา ฉันรักเขา
And where he goes I'll follow, I'll follow, I'll follow
และไม่ว่าที่ใดที่เขาไป ฉันจะติดตาม ติดตาม ติดตาม
He'll always be my true love, my true love, my true love
เขาจะเป็นความรักที่แท้จริงของฉัน ความรักอันแท้จริง ความรักอันแท้จริง
From now until forever, forever, forever
บัดนี้ จวบจนนิรันดร์ นิรันดร์ นิรันดร์

There isn't an ocean too deep
ไม่มีมหาสมุทรใดที่จะลึก
A mountain so high it can keep
ไม่มีภูเขาใดจะสูงเกิน
Keep us away, away from his love
ถึงขนาดที่จะกั้นพวกเราจากความรักของเขาได้



คลิปเพลง I Will Follow Him (Ost.Sister Act)



แปลเพลง If We Hold On Together

If We Hold On Together - Diana Ross

Don't lose your way
จงมุ่งมั่น
With each passing day
ในแต่ละวันที่ผ่านไป
You're come so far
เธอมาไกลมากแล้ว
Don't throw it away
อย่าทิ้งมันไป

Live believing
จงมีความเชื่อในชีวิต
Dreams are for wearing
ความฝันคืออาภรณ์
Wonders are waiting to start
ความมหัศจรยย์พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นขึ้น

Live your story,
จงทำเรื่องราวของคุณให้เป็นจริง
Faith,hope and glory
ศรัทธา ความหวังและความรุ่งโรจน์
Hold to the truth in your heart
เก็บมันไว้ให้เป็นความจริงในหัวใจคุณ

Chorus :
If we hold on together
ถ้าเราจับมือกันไว้
I know our dreams will never die
ฝันของเราจะไม่มีวันตาย
Dreams see us through to forever
ความฝันเฝ้ามองดูเราตลอดไป
When clouds roll by
เมื่อเมฆเคลื่อนผ่านไป
For you and I
สำหรับเธอและฉัน

Souls in the wind
วิญญาณในสายลม
must learn how to bend
ต้องเรียนรู้ที่จะหันโค้ง
Seek out a star
ค้นหาดวงดาว
Hold on till the end
จนกว่าทุกสิ่งจะสิ้นสุดลง

Valley, mountain,
หุบเขา ภูเขา
There is a fountain
และยังมีน้ำพุ
Washes our tears all away
ที่ช่วยซับน้ำตาของพวกเราอยู่

Words are swaying,
คำพูดที่สับสน
Someone is praying
มีบางคนกำลังอธิฐาน
Please let us come home to stay
กรุณาช่วยให้พวกเรากลับบ้านที่พักพิงของเราด้วยเถิด

[Chorus]

When we are out there in the dark
เมื่อพวกเราอยู่ในที่มืด
We'll dream about the sun
เราฝันถึงดวงอาทิตย์
In the dark we'll feel the light
ในความมืด เรารู้สึกถึงแสงสว่าง
Warm our hearts, everyone
หัวใจของเราทุกคนอบอุ่น

If we hold on together
ถ้าเราจับมือกันไว้
I know our dreams will never die
ฝันของเราจะไม่มีวันตาย
Dreams see us through to forever
ความฝันเฝ้ามองดูเราตลอดไป
As high as souls can fly
สูงเทียมวิญญาณเหินบิน
The clouds roll by
เมฆเคลื่อนผ่านไป
For you and ... I
สำหรับเธอและ... ฉัน


คลิปเพลง if we hold  on together

แปลเพลง Reflection

Reflection  - Christina Aguilera

Look at me
มองที่ฉันสิ
You may think you see
Who I really am
เธออาจคิดว่าเธอเห็นตัวตนของฉัน
But you'll never know me
แต่เธอจะไม่มีวันเห็นมันหรอก
Every day
ทุกๆ วัน
It's as if I play a part
ฉันแสดงละครแตกต่างบทกันไป
Now I see
ตอนนี้ ฉันเห็นแล้วล่ะ
If I wear a mask
ว่า ถ้าฉันจะใส่หน้ากาก
I can fool the world
ถึงฉันจะสามารถหลอกลวงผู้คนทั้งโลกได้
But I cannot fool my heart
แต่ฉันไม่สามารถโกหกหัวใจตัวเองได้

Who is that girl I see
เด็กสาวที่ฉันเห็นคนนั้นคือใคร
Staring straight back at me
เธอจ้องตรงมาที่ฉัน
When will my reflection show
เมื่อไรกันที่เงาของฉันจะสะท้อนให้เห็น
Who I am inside
ถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน

I am now
ตอนนี้ ฉัน
In a world where I
อยู่ในโลกที่ฉัน
Have to hide my heart
จำเป็นต้องซ่อนหัวใจของฉันไว้
And what I believe in
รวมถึงความเชื่อของฉัน
But somehow
แต่อย่างไรก็ตาม
I will show the world
ฉันจะทำให้โลกได้รู้ว่า
What's inside my heart
อะไรที่อยู่ในใจฉัน
And be loved for who I am
และทุกคนจะรักในสิ๋งที่ฉันเป็น

Who is that girl I see
เด็กสาวที่ฉันเห็นคนนั้นคือใคร
Staring straight back at me
เธอจ้องตรงมาที่ฉัน
Why is my reflection
ทำไม เงาของฉัน
Someone I don't know
ถึงกลายเป็นเงาของใครที่ฉันไม่รู้จัก
Must I pretend that I'm
จำเป็นด้วยหรือ ที่ฉันจะต้องแกล้งทำเป็น
Someone else
คนอื่น
For all time
ตลอดเวลา
When will my reflection show
เมื่อไรกันที่เงาของฉันจะสะท้อนให้เห็น
Who I am inside
ถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน

There's a heart that must be free to fly
จะต้องมีหัวใจสักดวงที่พร้อมจะโบยบินอย่างอิสระเสรี
That burns with a need to know the reason why
และถูกเผาผลาญด้วยความใคร่อยากรู้เหตุผล

Why must we all conceal
ทำไม พวกเราถึงต้องปกปิด
What we think
สิ่งที่เราคิด
How we feel
สิ่งที่เรารู้สึก
Must there be a secret me
มันต้องมีความลับอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉัน
I'm forced to hide
ที่ฉันต้องซ่อนมันไว้

I won't pretend that I'm
ฉันจะไม่แกล้งเป็น
Someone else
คนอื่น
For all time
ตลอดเวลาอีกแล้ว
When will my reflection show
เมื่อไรกันที่เงาของฉันจะสะท้อนให้เห็น
Who I am inside
ถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน
When will my reflection show
เมื่อไรกันที่เงาของฉันจะสะท้อนให้เห็น
Who I am inside
ถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน

คลิป เพลงreflection(ost.Mulan)

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

การแบ่งยุคของดนตรี



  





   ...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
  
   เมื่อมนุษย์ได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก มนุษย์มีเพื่อนที่เกิดมาพร้อมๆกัน
   
   

   เป็นเพื่อนที่มนุษย์ใช้เพื่ออ้อนวอน บูชาพระเจ้า ให้พระเจ้าดูแลให้ตนเองรอดปลอดภัยจากอันตราย หรือขอบคุณพระเจ้าที่บันดาลให้ตนเองมีความสุข 
     
   ใช่แล้ว...เพื่อนคนนั้นมีชื่อว่า"ดนตรี"
   
   มนุษย์ยุคหินเรียนรู้ที่จะเคาะหิน ตีไม้ ป่าปาก ปรบมือ ส่งเสียงอะไรไปตามเรื่อง เครื่องดนตรีเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆเช่นเดียวกับการเปล่งเสียงของมนุษย์ ากที่พูดกันไม่รู้เรื่อง ก็เริ่มมีการร้องแนวเดียว หรือ"เมโลดี้" และก็มีแต่"เมโลดี้"มาตลอด 

   จนกระทั่งราวศตวรรษที่ 12 เกิดการร้องเพลประสานเสียงขึ้น

   ระยะระหว่างศตวรรษที่ 12-15 เป็นการนับที่ไม่แน่นอนนัก บางคนนับทั้งหมดเป็นยุคโพลิโฟนิค แต่บางคนแบ่งเป็นยุคกลางและยุครีเนซองค์

   ศตวรรษที่ 16 จีงเริ่มนับยุคที่ตรงกัน คือยุคบาโร้ค นักดนตรีคนสำคัญคือบาค มอนเม แวร์ดี  คอเรลลีและวิวัลดี


บาค

   ต่อมาเป็นศตวรรษที่ 17 ยุคคลาสสิค มักใช้บันไดเสียงเป็นส่วนหนึ่งของการแต่งเพลง นักดนตรีคนสำคัญคือโมซาร์ท บีโธเฟน และไฮเดน

   

ไฮเดน



โมซาร์ท


 

บีโธเฟน


    ศตวรรษที่ 18 เริ่มต้นยุคโรแมนติกซึ่งนับเป็นยุคทองของดนตรี เน้นการแสดงอารมณ์อย่างชัดเจน มีชูมานน์ ไซคอฟสกีและโชแปงเป็นนักดนตรีคนสำคัญ


โชแปง


ไซคอฟสกี้


   หลังยุคโรแมนติกเกิดยุคสั้นๆคือยุคอิมเพรสชั่นนิส ยุคนี้ภาพลักษณ์ของดนตรีจะไม่ค่อยชัดเจน จะดูเบลอๆหน่อย

   ราวศตวรรษที่ 19 หรือ 20 นับเป็นยุคคอนเทมพาลารี หรือโมเดิร์น ซึ่งนับจนถึงปัจจุบัน

ว้าว!จบจนได้

   อ้างอิงค่ะ เผื่อใครจะไปอ่านเพิ่ม เพราะอันนี้พิมพ์ย่อๆสรุปมาให้ดูเฉยๆ

http://www.ebook.mtk.ac.th/main/forum_posts.asp?TID=1966
http://blog.eduzones.com/omike/3937
http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/19221-00/
http://km.lib.kmutt.ac.th/index.php/cops/14-2011-04-16-10-08-15/223-2011-05-10-04-56-21
http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww522/rtmu02/rtmu02-web1/contents/links/music04.htm

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

การกำเนิดเซลล์

มีใครเคยสงสัยบ้างมั้ย ว่า...เซลล์เกิดขึ้นมาได้ยังไง
วันนี้จะพาไปดูการกำเนิดเซลล์

(เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะจ๊ะ มีแหล่งอ้างอิงชัวร์ แต่เอามาเรียบเรียงเอง ต้องการอ้างอิงติดต่อหลังไมค์)
ขอให้สนุกกับการฟังนิทานก่อนนอน
 
  โลก ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 4.5 พันล้านปี่ที่แล้ว

  ตอนนั้นยังไม่เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้น โลกร้อนมาก มีแต่ภูเขาไฟระเบิดตู้มต้าม ฟ้าผ่า บรรยากาศก็มีแค่น้ำ มีเทน แอมโมเนีย ฟอสเฟต

  เอาเป็นว่า ข้างบนทั้้งหมดนี่ผสมไปผสมมา แล้วก็เกิด...
      กรดอมิโน(หน่วยย่อยของโปรตีน)
      น้ำตาล
      แล้วก็นิวคลีโอไทด์(หน่วยย่อยของกรดนิวคลีอิก)

  1.5พันล้านปีต่อมา (ก็ 3 พันล้านปีนั่นแหละ) ทั้งสามอันข้างบนนี้พัฒนาเป็นDNA ซึ่งจำลองตัวเองได้ เมื่อรวมเข้ากับ ribosome และมีเยื่อบางๆแผ่นหนึ่งมาหุ้ม ก้อนก้อนนี้ก็กลายเป็นเซลล์ชั้นต่ำ หรือ prokaryotic cells (หมายถึงเซลล์ที่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ DNA ribosome และเยื่อหุ้มเซลล์)
  (ปัจจุบันยังคงหลงเหลืออยู่คือ แบคทีเรียและสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง)

  อะฮ่า...เซลล์เซลล์แรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว...

  คำเตือน รูปด้านล่างไม่เหมาะแก่การรับชมก่อนรับประทานอาหารสำหรับผู้มีจิตใจอ่อนไหวง่าย เนื่องจากแบคทีเรียมีหน้าตาที่ไม่ค่อยน่าพิสมัยเท่าใดนัก





  ไม่ค่อยมีอะไรจริงๆด้วย...

  เอาล่ะ กลับมาต่อ 
  สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้(ทั้งๆที่มีอะไรอยู่ในตัวแค่นั้นน่ะนะ) โลกของเราจึงเริ่มมีแก๊สออกซิเจนเกิดขึ้น

  เซลล์โปรคาริโอตได้ตัดสินใจที่จะทำให้ชีวิตของมันมีค่ายิ่งขึ้น จึงเริ่มพับเยื่อหุ้มเซลล์เข้ามาเป็นชั้นๆ แล้วมันก็หลุดเข้ามา กลายเป็นเยื่อหุ้มนิวเคลียสและร่างแหเอนโดพลาสมิก แต่เมื่อบ้านของมันจะใหญ่ขึ้นถึงขนาดนั้น มันจึงต้องต่อเติมเสาบ้านที่เรียกว่าไซโทสเกเลตอนหรือโครงร่างของเซลล์เพื่อให้เซลล์แข็งแรง กลายเป็น eukaryotic cells หรือเซลล์ชั้นสูง ซึ่งเป็นเซลล์ี่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียสและออร์เเกเนลล์เที่มีเยื่อหุ้ม เมื่อ 2 พันล้านปีที่แล้้ว

  เซลล์ยูคาริโอตของเราบังเอิญเหลือบหน้าไปเห็นแอโรบิค แบคทีเรีย(สามรถสร้างพลังงานได้สูงกว่าเซลล์ทั่วไป)ด้วยความหมั่นไส้ ยูคาริโอตจึงงาบเอาแอโรบิคแบคทีเรียเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตน เพื่อให้มันสร้างพลังงานให้ และเราเรียกมันว่าไมโตคอนเดรีย
  (ปัจจุบัน เซลล์เหล่านี้ เรารู้จักกันว่ามันอยู่ในกลุ่มอมีบา ฟังไจ และแอนิมอ ร่างกายของคุณผู้อ่านก็ประกอบด้วยเซลล์แบบนี้เช่นกัน)




 
                         ที่มา http://www.biologyjunction.com/images/04-05A-AnimalCell-L.jpg
  ด้วยความหมั่นไส้อย่างไม่จบไม่สิ้น เซลล์ยูคาริโอตได้หันไปงาบไซยาโนแบคทีเรียเข้ามาอีกตัวเพื่อการสังเคราะห์ด้วยแสง และเราเรียกมันว่าคลอโรพลาสต์
  (ปัจจุบันได้กลายเป็นพืชและสาหร่ายสีเขียว น้ำตาล บลาๆ)





                ที่มา http://www.life.umd.edu/cbmg/faculty/acaines/bsci124/07-08-PlantCell-L.jpg

 นั่งพิมพ์อยู่นานมาก เอาเป็นว่าตอนนี้เซลล์ยูคาริโอพอใจแค่นี้ เลยไม่ต้องเขียนอะไรเพิ่มเติม
  สำหรับผู้ที่ฟังเป็นนิทานก่อนนอน หลับได้แล้วค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย
  หมดแรงแล้ว และหิวข้าวมาก ขอลาไปพักก่อน สวัสดีจ้า

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

วิลาสินี คุปต์นิรัติศัยกุล  
ม.2/1 เลขที่31
เลขประจำตัว 55211

มีความสนใจด้านการถ่ายภาพ หนังสือ ภาพยนต์ เพลงสากลและวงออเคสตร้า โดยเฉพาะเปียโน
ไม่เคยโดดเรียนถ้าไม่จำเป็น แต่ก็มีขี้เกียจบ้าง
เคยพยายามอ่านการ์ตูนวาย(คนเรอบตัวอ่านจำนวนมาก) แต่พบว่าไม่สามารถเสพอย่างต่อเนื่องได้ เนื่องจากมีผลกระทบทางจิตใจ
ชอบเรียนภาษา แต่ไม่ค่อยรอดเท่าไหร่